กลิ่นใต้วงแขนเป็นปัญหาที่หลายคนพบเจอและอาจสร้างความไม่มั่นใจในชีวิตประจำวัน น้ำมัน การใช้สารเคมีเช่น เดโอดอรันต์หรือแอนตี้เพอร์สไปแรนต์อาจช่วยลดกลิ่นได้ แต่บางคนอาจประสบปัญหาผิวระคายเคืองหรือต้องการทางเลือกจากธรรมชาติ น้ำมันหอมระเหย (Essential Oils) เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกลิ่นกายอย่างรวดเร็วและปลอดภัย บทความนี้จะแนะนำน้ำมันหอมระเหยที่เหมาะสำหรับลดกลิ่นใต้วงแขน พร้อมวิธีการใช้อย่างถูกต้อง
สาเหตุของกลิ่นใต้วงแขน

กลิ่นใต้วงแขนเกิดจากแบคทีเรียบนผิวหนังที่ย่อยสลายเหงื่อและสร้างกลิ่นไม่พึงประสงค์ ปัจจัยที่ทำให้เกิดกลิ่นแรงขึ้น ได้แก่:
- การทำงานของต่อมเหงื่อ – ต่อมเอปครายน์ (Apocrine glands) ผลิตเหงื่อที่มีไขมันและโปรตีน ซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรีย
- สุขอนามัย – การทำความสะอาดไม่เพียงพอทำให้แบคทีเรียสะสม
- อาหาร – อาหารรสจัดหรือมีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม อาจส่งผลต่อกลิ่นกาย
- ฮอร์โมน – การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่นหรือวัยทองอาจทำให้เหงื่อมีกลิ่นมากขึ้น
น้ำมันหอมระเหยช่วยลดกลิ่นใต้วงแขนได้อย่างไร?
น้ำมันหอมระเหยมีคุณสมบัติสำคัญที่ช่วยจัดการกลิ่นใต้วงแขน ได้แก่:
- ฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย – ช่วยลดจำนวนแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่น
- กลิ่นหอมสดชื่น – ปกปิดกลิ่นไม่พึงประสงค์และให้ความสดชื่น
- สมดุลการผลิตเหงื่อ – บางชนิดช่วยควบคุมการทำงานของต่อมเหงื่อ
น้ำมันหอมระเหย 5 ชนิดที่เหมาะสำหรับลดกลิ่นใต้วงแขน
1. น้ำมันหอมระเหยทีทรี (Tea Tree Oil)
ทีทรีออยล์มีสาร เทอร์ปีน-4-อล (Terpinen-4-ol) ที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและเชื้อรา ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียในบริเวณใต้วงแขน
วิธีใช้:
- ผสมทีทรีออยล์ 2-3 หยดกับน้ำมัน载体 (เช่น น้ำมันมะพร้าวหรือโจโจ้บาออยล์) แล้วทาบริเวณใต้วงแขนหลังอาบน้ำ
- หลีกเลี่ยงการใช้ทีทรีออยล์แบบไม่เจือจางเพราะอาจทำให้ผิวระคายเคือง
2. น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์ (Lavender Oil)
ลาเวนเดอร์มีกลิ่นหอม calming และมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดกลิ่นและทำให้ผิวผ่อนคลาย
วิธีใช้:
- ผสมลาเวนเดอร์ออยล์ 3 หยดกับน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ ใส่ขวดสเปรย์แล้วฉีดพ่นใต้วงแขน
- สามารถผสมกับเบกกิ้งโซดาเพื่อทำเป็นเดโอดอรันต์ธรรมชาติ
3. น้ำมันหอมระเหยเปปเปอร์มินต์ (Peppermint Oil)
เปปเปอร์มินต์ให้ความเย็นสดชื่นและมีสาร เมนทอล (Menthol) ที่ช่วยลดการผลิตเหงื่อ
วิธีใช้:
- ผสมเปปเปอร์มินต์ออยล์ 2 หยดกับว่านหางจระเข้เจล แล้วทาใต้วงแขน
- ไม่ควรใช้กับผิวบอบบางหรือมีแผลเพราะอาจเกิดการระคายเคือง
4. น้ำมันหอมระเหยสะระแหน่ (Spearmint Oil)
สะระแหน่มีกลิ่นหอมสดชื่นและช่วยยับยั้งแบคทีเรีย
วิธีใช้:
- ผสมสะระแหน่ออยล์กับน้ำมันมะกอก นำมาทาบริเวณที่ต้องการ
- ใช้ร่วมกับน้ำมันหอมระเหยอื่นๆ เช่น ลาเวนเดอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
5. น้ำมันหอมระเหยซีทรัส (Citrus Oils: เลมอน, ส้ม, เกรปฟรุต)
น้ำมันหอมระเหยจากผลไม้ตระกูลส้มมีกรดธรรมชาติที่ช่วยปรับสมดุลผิวและลดกลิ่น
วิธีใช้:
- ผสมน้ำมันเลมอนหรือเกรปฟรุต 2 หยดกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ทาใต้วงแขนทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก
- ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดหลังใช้เพราะอาจทำให้ผิวไวต่อแสง
วิธีการใช้น้ำมันหอมระเหยเพื่อลดกลิ่นใต้วงแขน
1. สเปรย์ระงับกลิ่นธรรมชาติ
ส่วนผสม:
- น้ำมันหอมระเหย (เลือกกลิ่นที่ชอบ) 5-10 หยด
- น้ำกลั่น ¼ ถ้วย
- วอดก้าหรือ witch hazel ¼ ถ้วย (ช่วยให้ส่วนผสมคงตัว)
วิธีทำ:
ผสมส่วนผสมทั้งหมดในขวดสเปรย์ เขย่าก่อนใช้ทุกครั้ง ฉีดพ่นใต้วงแขนหลังอาบน้ำ
2. เดโอดอรันต์จากเบกกิ้งโซดาและน้ำมันหอมระเหย
ส่วนผสม:
- เบกกิ้งโซดา 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันหอมระเหย 5 หยด
วิธีทำ:
ผสมส่วนผสมให้เข้ากัน เก็บในภาชนะปิดสนิท ทาบริเวณใต้วงแขนเล็กน้อยหลังอาบน้ำ
3. มาสก์ใต้วงแขนด้วยน้ำมันหอมระเหย
ส่วนผสม:
- ดินสอพอง 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันหอมระเหยทีทรีหรือลาเวนเดอร์ 2 หยด
- น้ำกุหลาบ 1 ช้อนชา
วิธีทำ:
ผสมให้เป็นเนื้อครีม ทาบริเวณใต้วงแขนทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก ช่วยดูดซับความชื้นและลดกลิ่น
ข้อควรระวังในการใช้น้ำมันหอมระเหย
- เจือจางก่อนใช้เสมอ – น้ำมันหอมระเหยมีความเข้มข้นสูง ต้องผสมกับน้ำมัน载体หรือน้ำก่อนทาผิว
- ทดสอบการแพ้ – ทาที่ท้องแขนทิ้งไว้ 24 ชั่วโมงเพื่อดูว่ามีอาการคันหรือแดงหรือไม่
- หลีกเลี่ยงบริเวณผิวบอบบาง – ไม่ควรใช้กับผิวที่มีแผลหรืออักเสบ
- เก็บให้พ้นแสงแดด – น้ำมันหอมระเหยอาจเสื่อมสภาพหากโดนความร้อน
การดูแลสุขอนามัยเพื่อป้องกันกลิ่นใต้วงแขน
แม้ว่าน้ำมันหอมระเหยจะช่วยลดกลิ่นใต้วงแขนได้ดี แต่การดูแลสุขอนามัยพื้นฐานก็สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นกลับมาอย่างรวดเร็ว ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
1. อาบน้ำอย่างสม่ำเสมอ
- ควรอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะหลังออกกำลังกายหรืออยู่ในสภาพอากาศร้อน
- ใช้สบู่ที่มีส่วนผสมของ น้ำมันหอมระเหย หรือ สารต้านแบคทีเรีย เช่น สบู่ทีทรีออยล์
2. ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะสม
- เลือกสบู่หรือเจลอาบน้ำที่มีค่า pH เป็นกลาง (5.5-6.5) เพื่อไม่ให้ผิวเสียสมดุล
- หลีกเลี่ยงสบู่ที่มีน้ำหอมสังเคราะห์ เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและเพิ่มการสะสมของแบคทีเรีย
3. ดูแลเสื้อผ้าให้สะอาด
- ซักเสื้อผ้าทุกครั้งหลังใช้งาน โดยเฉพาะเสื้อชั้นในและเสื้อแขนกุด
- เลือกผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย หรือ ผ้าไหม เพื่อลดการสะสมของเหงื่อ
4. หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นเหงื่อ
- จำกัดอาหารรสจัด เช่น กระเทียม หัวหอม และอาหารที่มีกลิ่นแรง
- ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยขับสารพิษและลดความเข้มข้นของเหงื่อ
- สวมเสื้อผ้าหลวมๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเท
สูตรน้ำมันหอมระเหยผสมสำหรับลดกลิ่นใต้วงแขน
หากต้องการประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถผสมน้ำมันหอมระเหยหลายชนิดเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการต้านแบคทีเรียและระงับกลิ่น
สูตร 1: สเปรย์ระงับกลิ่นแบบเย็นสดชื่น
ส่วนผสม:
- น้ำมันหอมระเหยเปปเปอร์มินต์ 3 หยด
- น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์ 3 หยด
- น้ำมันหอมระเหยทีทรี 2 หยด
- Witch Hazel ½ ถ้วย
- น้ำกลั่น ½ ถ้วย
วิธีใช้:
ผสมส่วนผสมทั้งหมดในขวดสเปรย์ เขย่าให้เข้ากันก่อนใช้ ฉีดพ่นใต้วงแขนวันละ 1-2 ครั้ง
สูตร 2: ครีมทาระงับกลิ่นจากธรรมชาติ
ส่วนผสม:
- น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ
- เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ
- แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันหอมระเหยสะระแหน่ 3 หยด
- น้ำมันหอมระเหยเลมอน 2 หยด
วิธีใช้:
ผสมส่วนผสมทั้งหมดจนกลายเป็นเนื้อครีม เก็บในภาชนะปิดสนิท ทาบริเวณใต้วงแขนหลังอาบน้ำ
น้ำมันหอมระเหยกับวิธีใช้แบบอื่นๆ
นอกจากทาหรือฉีดพ่น น้ำมันหอมระเหยยังสามารถใช้ร่วมกับวิธีการอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดกลิ่นใต้วงแขน
1. ใช้น้ำมันหอมระเหยในอ่างอาบน้ำ
- ผสมน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์หรือทีทรีออยล์ 5-10 หยด กับน้ำอุ่น
- แช่ตัวหรือใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดบริเวณใต้วงแขน ช่วยลดแบคทีเรียและกลิ่น
2. ใช้ร่วมกับการสครับผิว
- ผสมน้ำมันหอมระเหยกับน้ำตาลหรือเกลือทะเล ทำเป็นสครับขัดผิวสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
- ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าและลดการสะสมของแบคทีเรีย
3. ใช้ในเครื่องกระจายกลิ่น
- หากต้องการปรับกลิ่นกายทั้งตัว สามารถใช้น้ำมันหอมระเหยในเครื่องกระจายกลิ่นเพื่อให้ร่างกายดูดซึมกลิ่นหอม