Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    thailand-export-quality
    • Home
    • ข่าวสารล่าสุด
    • ความบันเทิง
    thailand-export-quality
    ข่าวสารล่าสุด

    โอเมก้า 3 และ DHA: สารอาหารจำเป็นต่อการพัฒนา สมอง

    Edward BakerBy Edward BakerJune 19, 2025No Comments2 Mins Read

    พัฒนาการทาง สมอง ของเด็กเป็นช่วงเวลาที่สำคัญและต้องการโภชนาการที่เหมาะสม ในบรรดาสารอาหารที่จำเป็นต่างๆ กรดไขมันโอเมก้า-3 โดยเฉพาะ DHA (Docosahexaenoic Acid) มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการทำงานของสมอง ความจำ และความสามารถในการเรียนรู้ บทความนี้จะกล่าวถึงความสำคัญของโอเมก้า-3 และ DHA ต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก รวมถึงแหล่งอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารเหล่านี้

    โอเมก้า-3 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ไม่สามารถสร้างเองได้ จึงต้องได้รับจากอาหาร โดยโอเมก้า-3 ที่สำคัญมีอยู่ 3 ชนิด คือ

    • ALA (Alpha-linolenic Acid)
    • EPA (Eicosapentaenoic Acid)
    • DHA (Docosahexaenoic Acid)

    สำหรับเด็ก DHA คือกรดไขมันที่มีบทบาทโดยตรงกับการสร้างและพัฒนาระบบประสาท สมอง และสายตา โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่ทารกในครรภ์จนถึงวัยเด็กตอนต้น


    บทบาทของ DHA ต่อสมองเด็ก

    1. ส่งเสริมการพัฒนาสมองและความจำ
      DHA เป็นส่วนประกอบหลักของเยื่อหุ้มเซลล์สมอง โดยเฉพาะในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ การคิดวิเคราะห์ และความจำ
    2. ช่วยในการมองเห็น
      จอประสาทตาประกอบด้วย DHA ในปริมาณสูง การได้รับ DHA อย่างเพียงพอช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านสายตา
    3. ส่งผลต่อพฤติกรรมและอารมณ์
      งานวิจัยหลายฉบับพบว่า DHA มีความเกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ สมาธิ และความสามารถในการควบคุมพฤติกรรม โดยเฉพาะในเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้น (ADHD)
    4. สนับสนุนระบบประสาทส่วนกลาง
      DHA มีส่วนช่วยในการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาท ซึ่งเป็นพื้นฐานของการรับรู้และพฤติกรรม

    แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วย DHA และโอเมก้า-3

    • ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน
    • น้ำมันปลา และน้ำมันตับปลา
    • ไข่ที่เสริม DHA
    • นมและผลิตภัณฑ์เสริม DHA
    • เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย และวอลนัท (แหล่งของ ALA ที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็น DHA ได้บ้าง)

    สำหรับเด็กเล็กหรือเด็กที่ไม่สามารถบริโภคปลาหรืออาหารที่มี DHA ได้อย่างเพียงพอ แพทย์อาจแนะนำให้เสริม DHA ในรูปแบบน้ำมันปลาแบบเด็กหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร


    คำแนะนำการบริโภค

    • เด็กอายุ 1–8 ปี ควรได้รับ DHA ประมาณ 70–100 มิลลิกรัมต่อวัน
    • หญิงตั้งครรภ์และแม่ให้นม ควรได้รับ DHA อย่างน้อย 200–300 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อสนับสนุนพัฒนาการสมองของทารกในครรภ์และทารกแรกเกิด

    หลักฐานทางวิชาการรองรับ

    งานวิจัยจาก American Journal of Clinical Nutrition พบว่า
    เด็กที่ได้รับ DHA อย่างเพียงพอในช่วงก่อนวัยเรียนมีคะแนนด้านการรู้คิดและทักษะการแก้ปัญหาสูงกว่าเด็กที่ได้รับในปริมาณต่ำ

    อีกทั้งผลจากการศึกษาระยะยาวโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดยังชี้ว่า
    การเสริม DHA ในเด็กวัยเรียนมีแนวโน้มช่วยปรับสมาธิ ลดพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น และส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

    นอกจากนี้ สมาคมกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (AAP) ยังแนะนำให้แม่ตั้งครรภ์และแม่ให้นมควรได้รับ DHA อย่างเพียงพอเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบประสาทของทารกในครรภ์และในระยะหลังคลอด


    แนวทางส่งเสริมการบริโภค DHA ในครอบครัว

    1. จัดเมนูปลาทะเลสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง
      เช่น ปลาแซลมอนนึ่ง แกงปลาทู หรือปลาย่างน้ำจิ้มมะนาวในมื้อเย็น
    2. ใช้ไข่ที่มีการเสริม DHA เป็นประจำ
      โดยเฉพาะเมนูที่เด็กทานง่าย เช่น ไข่ตุ๋น ไข่เจียว หรือไข่ต้ม
    3. เสริมด้วยผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มที่เติม DHA
      ซึ่งเหมาะกับเด็กวัยเรียนที่อาจไม่ทานปลาได้สม่ำเสมอ
    4. ใช้ถั่วและเมล็ดธัญพืชเป็นของว่าง
      เช่น อัลมอนด์ วอลนัท หรือเมล็ดแฟลกซ์บดผสมในข้าวต้ม หรือซีเรียล
    5. ฝึกนิสัยการเลือกอาหารที่ดีผ่านการมีส่วนร่วม
      ให้เด็กช่วยเลือกวัตถุดิบ หรือเข้าครัวเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับรสชาติของปลาและอาหารที่มีไขมันดี

    ข้อควรระวัง

    หากมีประวัติแพ้อาหารทะเลหรือปลาบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มเปลี่ยนอาหาร

    ไม่ควรให้เด็กได้รับอาหารเสริมโอเมก้า-3 หรือ DHA โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์

    หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาที่ไม่ได้รับการรับรองความปลอดภัย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก

    ประโยชน์ระยะยาวของ DHA ต่อชีวิตในอนาคต

    การได้รับ DHA อย่างเพียงพอตั้งแต่วัยเด็กไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเรียนรู้ในช่วงประถมเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองและสุขภาพในระยะยาว ดังนี้:

    • ส่งเสริมการทำงานของสมองในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในด้านการวางแผน การตัดสินใจ และความจำระยะยาว
    • ลดความเสี่ยงของโรคทางสมองในวัยสูงอายุ เช่น ภาวะสมองเสื่อม และอัลไซเมอร์
    • เสริมพื้นฐานของสุขภาพจิตที่มั่นคง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้า และความผิดปกติทางพฤติกรรมในอนาคต

    ข้อเสนอเชิงนโยบายและบทบาทของโรงเรียน

    1. บรรจุความรู้เรื่องโภชนาการสมองในหลักสูตรสุขศึกษา
      โรงเรียนสามารถจัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่องอาหารที่ดีต่อสมอง โดยเน้น DHA และโอเมก้า-3
    2. ส่งเสริมโครงการอาหารกลางวันที่มี DHA
      เช่น การใช้ปลาทะเลหรือปลาน้ำจืดที่มีไขมันดีเป็นวัตถุดิบหลัก รวมถึงการให้ข้อมูลแก่ผู้ปกครองในการจัดอาหารเสริมที่ปลอดภัย
    3. การฝึกอบรมครูและผู้ดูแลเด็ก
      ให้เข้าใจบทบาทของสารอาหารสมองในการส่งเสริมพฤติกรรมเด็ก สมาธิ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

    ข้อคิดสำหรับผู้ปกครอง

    • เด็กในช่วง 0–6 ปี คือช่วง “หน้าต่างทองของสมอง” ที่สมองเจริญเติบโตเร็วที่สุด หากในช่วงนี้ร่างกายได้รับ DHA ไม่เพียงพอ อาจส่งผลต่อการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาท
    • การดูแลเรื่องโภชนาการไม่ควรรอจนเด็กโต แต่ควรเริ่มตั้งแต่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะใน 1,000 วันแรกของชีวิต (ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงอายุ 2 ปี)

    แบบประเมิน: ลูกของคุณได้รับ DHA เพียงพอหรือไม่?

    ตรวจสอบเบื้องต้นจากพฤติกรรมและการบริโภคในชีวิตประจำวัน ดังนี้:

    1. เด็กทานปลาทะเลอย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์หรือไม่?
    2. มีการดื่มนม หรือบริโภคผลิตภัณฑ์เสริม DHA หรือไม่?
    3. มีไข่เสริม DHA อยู่ในเมนูอาหารประจำสัปดาห์หรือไม่?
    4. เด็กมีปัญหาด้านสมาธิ ความจำ หรือพฤติกรรมที่อาจเกี่ยวข้องกับสมองหรืออารมณ์หรือไม่?
    5. คุณทราบปริมาณ DHA ที่เหมาะสมกับวัยของลูกหรือไม่?

    หากคำตอบคือ “ไม่” เกิน 2 ข้อ แนะนำให้เริ่มสำรวจและปรับพฤติกรรมการบริโภค DHA ในครอบครัว


    แนวทางเริ่มต้นในครัวเรือน

    • เพิ่ม “วันปลา” สัปดาห์ละ 2 วัน เช่น วันพุธและวันเสาร์
    • แทนขนมขบเคี้ยวด้วยของว่างที่มีเมล็ดแฟลกซ์หรืออัลมอนด์
    • ผสมเมล็ดเจียลงในข้าวต้ม โจ๊ก หรือโยเกิร์ตของเด็ก
    • เลือกไข่และนมเสริม DHA ในซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีมาตรฐาน
    • อ่านฉลากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมทุกครั้ง โดยเฉพาะปริมาณ DHA ต่อหน่วยบริโภค

    ตัวอย่างเมนูง่าย ๆ สำหรับเด็กวัยเรียน

    เช้า: ข้าวต้มปลาทู + ไข่ต้ม 1 ฟอง + นมเสริม DHA
    กลางวัน: ข้าวกล้อง + แกงจืดปลานิล + กล้วยหอม
    เย็น: ปลาแซลมอนย่าง + ข้าวโพดต้ม + ไข่ตุ๋น
    ของว่าง: ถั่ววอลนัทอบ / ขนมปังทาอะโวคาโด + น้ำเต้าหู้

    สรุปภาพรวม

    โอเมก้า-3 และ DHA คือรากฐานทางโภชนาการสำหรับสมองเด็ก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้มี DHA อย่างเหมาะสมในทุกวันเป็นสิ่งที่ทำได้จริง และสามารถส่งผลอย่างมหาศาลต่อการเรียนรู้ อารมณ์ และศักยภาพของเด็กในระยะยาว การเริ่มต้นจากเมนูง่าย ๆ ในครัวเรือนคือจุดเริ่มต้นของสุขภาพสมองที่ดี

    โอเมก้า-3 และ DHA: สารอาหารจำเป็นสำหรับพัฒนาการทางสมองของเด็ก
    Edward Baker

    Related Posts

    สิงคโปร์ ในหนึ่งวัน: คู่มือวันหยุดที่สนุกสนานและใช้งานได้จริง

    July 1, 2025

    สหรัฐอเมริกาจากตะวันออกสู่ ตะวันตก การเดินทางอันมหัศจรรย์

    June 29, 2025

    แสงแดด ยามเช้าช่วยเพิ่มอารมณ์และลดความเครียด

    June 26, 2025

    Comments are closed.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.